สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน หายหน้าหายตาไปนานเลยคราวนี้กลับมาพร้อมกับประโยคที่กินใจผมเหลือเกิน "Dad, I always told you I'd come back and get my degree." หากจะพูดเป็นภาษาไทยในสำนวนของผม คือ พ่อครับ ผมบอกพ่ออยู่เสมอว่าผมจะกลับมาและเรียนให้จบ
ก่อนอื่นผมขอเท้าความเบื้องหลังของประโยคนี้สักหน่อย คือประมาณเดือนสิงหาคมปีนี้ ผมได้ไปเดินดูหนังสือที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่จัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ บังเอิญได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่นหนึ่งที่เป็นหนังสือแปลของบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียง ที่ถูกเชิญไปพูดในโอกาสที่นักศึกษาจบการศึกษาของมหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อพลิกอ่านไปเรื่อยๆ ก็เจอประโยคที่น่าสนใจประโยคนี้เข้า ผมคิดว่าหลายท่านเมื่ออ่านมาถึงตรงจุดนี้แล้วคงพอจะเดาได้ว่า ใครน่ะที่เป็นบุคคลสำคัญระดับโลกและพูดประโยคนี้ให้พวกเราได้ยินกัน หากเป็นผมหรือคุณๆ ท่านๆ พูดประโยคนี้ก็คงไม่น่าสนใจสักเท่าไร แถมอาจจะยังมีคำกระแนะกระแหนตามมาอีกว่า "ก็เรื่องของมึงงง...ซิว่ะ จะมาบอกให้รู้ทำไม" แต่ถ้าผมบอกว่าคนที่พูดประโยคนี้เป็นบุคคลที่ร่ำรวยติดอันดับสองของโลกในปีนี้ล่ะ คงพอจะกระตุ้นต่อมสติของพวกคุณๆ ได้บ้างกระมังและถ้าบอกว่าเขาคือพ่อมดแห่งโลกไอทีล่ะ ท่านผู้อ่านคงจะถึงบางอ้อบ้างแล้วกระมัง ใช่ครับเขาคือ บิล เกตต์ (Bill Gates) ประโยคข้างต้นเป็นนี้เป็นส่วนหนึ่งใน Commencement Speech ที่Harvard University เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2007 (สำหรับบทความเต็มๆ ฟังได้จากลิงค์ตามนี้ครับ http://plin.exteen.com/20070611/speech-by-bill-gates-at-harvard-university-june-7-2007) จากการฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้เขียนรู้สึกว่าถึงแม้ว่า บิล เกตต์ จะพูดประโยคนี้สั้นๆ และเหมือนกับว่าเป็นโจ๊กให้นักศึกษาได้หัวเราะกันแต่ความรู้สึกที่ผมได้ฟังคือ ผู้พูดให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมากจากประโยคเต็มๆ ที่ว่า "I've been waiting more than 30 years to say this: "Dad, I always told you I'd come back and get my degree." ถึงแม้ว่าในการกลับมาที่ Harvard University ครั้งนี้ เขาจะได้รับปริญญากิตติมศักดิ์ An honorary Law Degree ก็ตาม ผมไม่อาจคาดเดาได้ว่าในใจของ บิล เกตต์ เขาคิดอย่างไร แต่ที่อยากจะเขียนในบทความนี้คือการชี้ประเด็นให้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาซึ่งแม้แต่คนที่ร่ำรวยระดับโลกยังต้องคำนึงถึง ในการพูดครั้งนี้เนื้อหาส่วนใหญ่เน้นหนักไปที่ Inequity หรือ ความไม่เสมอภาคของผู้คนในโลก แต่ผู้เขียนจะขอหยิบยกเรื่องเกี่ยวกับการศึกษามากล่าวอ้างเพียงบางส่วนเท่านั้น
ผู้เขียนอยากชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญ 2 ส่วนคือ ความสำคัญของการศึกษาและลำดับงานสำคัญในชีวิตที่ต้องทำก่อน สำหรับด้านการศึกษาหาความรู้คงแล้วแต่ใครจะสนใจ รักและถนัดที่จะทำอะไรก็เป็นไปตามแต่ละบุคคล ซึ่งการศึกษาหาความรู้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น แต่อีกประเด็นหนึ่งคือ ลำดับงานสำคัญในชีวิตที่ต้องทำก่อน หากเรามองชีวิตที่ประสบความสำเร็จของ บิล เกตต์ เป็นกรณีศึกษาแล้วจะเห็นว่าเขาตั้งใจจะกลับมาเรียนให้จบตลอดเวลาแต่ด้วยความสำเร็จในชีวิตอย่างสูงของเขาทำให้ความตั้งใจนี้ต้องเลื่อนออกไป ออกไป และออกไป จนในที่สุดก็สายเกินกว่าที่จะกลับไปเรียนให้จบตามที่คิดไว้ได้อีก ผู้เขียนเคยฟังท่านผู้อาวุโสท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า จงทำเรื่องที่สำคัญที่สุดก่อน เรื่องที่เมื่อวันและเวลาผ่านเลยไปแล้วจะไม่สามารถย้อนกลับมาทำได้อีก เพราะเมื่อมีอายุมากขึ้น มากขึ้นแล้ว คนส่วนใหญ่มักจะย้อนกลับมานึกถึงอดีต ผู้คนเหล่านั้นจะรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ไม่ได้ทำมากกว่าที่ทำแล้วผิดพลาดหรือล้มเหลว ในความนึกคิดของผู้เขียนเชื่ออย่างสนิทใจว่าหาก บิล เกตต์ ไม่ลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วตั้งหน้าตั้งตาเรียนให้จบมหาวิทยลัยฯ เสียก่อนแล้วจึงค่อยเริ่มต้นธุรกิจหรือจะเริ่มต้นธุรกิจอย่างพอประมาณและเรียนไปด้วยพร้อมๆ กัน ด้วยความเป็นอัจฉริยะในตัวของเขา เขาก็ยังคงประสบความสำเร็จและเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลกอยู่ดี แต่อาจจะช้าไปสัก 4 ปีหรือมากกว่านั้นก็คงไม่เป็นไรกระมัง
ดังนั้นจึงอยากฝากข้อคิดไว้กับผู้อ่านสักสองข้อว่า จงตระหนักรู้และให้ความสำคัญกับการศึกษาเสมือนหนึ่งว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเลยทีเดียวหรือจะเรียกตามสมัยนิยมปัจจุบันนี้คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต และข้อที่สองคือ จงทำงานที่สำคัญที่สุดในชีวิตก่อน งานที่เมื่อเวลาผ่านเลยไปแล้วเราจะไม่สามารถกลับมาทำมันได้อีก เช่นการเรียนให้จบมหาวิทยาลัย หรือการเรียนต่อในระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอกตามที่ตั้งใจไว้ เป็นต้น
ณ ตอนนี้ผู้เขียนยังมีข้อกังขาใจว่า หากปัจจุบันนี้สามารถมีเครื่องย้อนเวลาอย่างที่เรียกว่า Time Machine และสามารถย้อนเวลากลับไปได้สัก 30 ปีกว่าๆ กลับไปในสมัยที่ บิล เกตต์ ยังเรียนอยู่ที่ Harvard University เขาจะตัดสินใจทำอะไรในตอนนั้น............คำตอบนี้คงอยู่ในใจ บิล เกตต์ ตลอดกาล.........สวัสดี
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
3 ความคิดเห็น:
ยังไม่จบใช่ป่าว เขียนให้จบไว ๆ แล้วจะเข้ามาอ่านต่อ :)
ตามคำขอของคุณอังคณาน่ะครับ พอมีเวลาว่างและในช่วงเวลาที่สมองว่างเปล่าจากความกังวลใดใด การรังสรรค์ผลงานก็บังเกิดขึ้นในบัดดล...555.
ขอบใจจ้า สำหรับบทความ
แสดงความคิดเห็น