วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552

ทฤษฎี XYZ...และ...ทฤษฎีบริหารคนด้วยหัวใจ

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะเริ่มต้นปีใหม่นี้ด้วยหัวใจที่สดใส ประมาณปลายปีที่แล้ว เพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่งเข้ามาในห้องทำงานของผมแล้วบ่นๆ เกี่ยวกับลูกน้องของเขา เพื่อนร่วมงานของเขา ตลอดจนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำงานต่างๆ ที่ผ่านมาให้ผมฟังยกใหญ่เลย ผมฟังอย่างตั้งใจโดยไม่ได้เสนอความคิดเห็นอะไรให้เป็นการต่อความยาวสาวความยืด โดยประสบการณ์การทำงานกว่า 10 ปีของผมส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับคนหรือบุคคลมาโดยตลอด ทำให้ผมเข้าใจถึงความคับอกคับใจของเพื่อนร่วมงานคนนี้เป็นอย่างดีและรู้สึกว่าถ้าเขาผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ เขาจะเติบโตขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว โดยต้องไม่ลืมว่าผู้นำที่ดีต้องเข้าใจคนและเข้าใจงานเป็นอย่างดี แต่ก่อนที่เขาจะก้าวไปสู่ขั้นนั้นได้ เขาควรจะรู้จักทฤษฎีการบริหารคนเสียก่อน ในบทความนี้ขอนำเสนอทฤษฎีจูงใจคนที่องค์กรส่วนใหญ่ใช้กันคือ ทฤษฎี XYZ กล่าวคือ

1. ทฤษฎี X (The Traditioal View of Direction and Control) ทฤษฎีนี้เกิดจากข้อสมมุติฐานที่ว่า
1. คนไม่อยากทำงาน และหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ
2. คนไม่ทะเยอทะยาน และไม่คิดริเริ่ม ชอบให้สั่งการ
3. คนเห็นแก่ตนเองมากกว่าองค์การ
4. คนมักต่อต้านการเปลึ่ยนแปลง
5. คนมักโง่ และหลอกง่าย
บทวิพากษ์ หลักความคิดของทฤษฎี X มองคนในแง่ลบ คนจะทำงานเมื่อมีกฎ ระเบียบมาบังคับ และต้องจ่ายค่าตอบแทนจึงจะทำงาน หลายบริษัทบริหารบุคลากรโดยใช้ทฤษฎีนี้ ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลิตภาพที่ดี แต่ สัมพันธภาพระหว่างองค์กรกับบุคคลากรกลับไม่ดีตามผลิตภาพที่ได้รับ สถานะการณ์ที่บ่งบอกคือ พนักงานรอรับโบนัสแล้วก็ลาออก อัตราการเข้า-ออกจากงานสูง พนักงานไม่ใสใจในงาน ทำงานแบบขอไปที่หรือขอให้จบไปวันๆ เท่านั้น ผู้นำที่บริหารบุคลากรด้วยทฤษฎี X มักจะได้รับผลงานที่ดีเยี่ยมจากลูกน้องแต่อย่าหวังความรักและความภักดีจากลูกน้องเลย

2. ทฤษฎี Y (The integration of Individual and Organization Goal) ทฤษฎีข้อนี้เกิดจากข้อสมมุติฐานที่ว่า
1. คนจะให้ความร่วมมือ สนับสนุน รับผิดชอบ ขยัน
2. คนไม่เกียจคร้านและไว้วางใจได้
3. คนมีความคิดริเริ่มทำงานถ้าได้รับการจูงใจอย่างถูกต้อง
4. คนมักจะพัฒนาวิธีการทำงาน และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
บทวิพาษณ์ ทฤษฎีนี้ให้ความสำคัญกับบุคคลากร มองคนในแง่บวก ส่งเสริมให้คนพัฒนาขีดความสามารถและศักยภาพเพิ่มขึ้นจนกระทั้งบรรลุตามเป้าหมายขององค์กร ทฤษฎีนี้มองคนเป็นจุดศูนย์กลาง โดยทั่วไปแล้วมักใช้ได้กับบุคลากรที่ค่อนข้างมีจริยธรรมดีและมีการศึกษาสูง แต่ในความเป็นจริงในองค์กรหนึ่งๆ มักมีบุคลากรที่มีความหลากหลายทางพฤติกรรม มีพื้นฐานทางความคิดแตกต่างกัน ดังนี้การจะใช้ทฤษฎี Y เพียงอย่างเดียวในการบริหารคนจึงอาจประสบปัญหาหลายอย่างและไม่บรรลุผลตามที่ตั้งใจไว้

3. ทฤษฎี Z (Z Theory) (William G. Ouchl) ทฤษฎีนี้รวมเอาหลักการของทฤษฎี X และ Y เข้าด้วยกัน แนวความคิดก็คือ องค์การต้องมีหลักเกณฑ์ที่ควบคุมมนุษย์ แต่มนุษย์ก็รักความเป็นอิสระและมีความต้องการ หน้าที่ของผู้บริหารจึงต้องปรับเป้าหมายขององค์การให้สอดคล้องกับเป้าหมายของบุคคลในองค์การ ทฤษฎีมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการคือ
1. การทำให้ปรัชญาที่กำหนดไว้บรรลุ
2. การพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
3. การให้ความไว้วางใจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
4. การให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
ทฤษฎีนี้ใช้หลักการ 3 ประการ คือ
1. คนในองค์การต้องซื่อสัตย์ต่อกัน
2. คนในองค์การต้องมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
3. คนในองค์การต้องมีความใกล้ชิดเป็นกันเอง
บทวิพากษ์ แนวคิดนี้เป็นการบูรณาการระหว่าง ทฤษฎี X และ ทฤษฎี Y เป็นการตีกรอบกฎ ระเบียบข้อบังคับให้เหมาะสมกับความไว้วางใจในตัวของบุคลากรในองค์กร หากองค์กรสามารถนำทฤษฎีนี้ไปปฏิบัติให้เห็นผล ก็น่าจะเกิดคุณค่าแก่องค์กรสูงสุด แต่ที่ยากลำบากคือการสร้างเป้าหมายให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละบุคคลซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามสถานะ ตำแหน่งงาน และความคาดหวัง

บทส่งท้าย ผมมีความเห็นว่า องค์กรแต่ละแห่งมีความเหมาะสมที่จะใช้ทฤษฎีจูงใจคนที่แตกต่างกัน บางองค์กรเหมาะสมที่จะประยุกติ์ใช้ทฤษฎี X บางองค์กรก็เหมาะสมที่จะประยุกติ์ใช้ ทฤษฎี Y หรือ Z แต่ส่วนหนึ่งต้องไม่ลืมว่า คนนั้นมีหัวใจ หากเป็นสำนวนในวรรณกรรมจีนที่ผมเคยอ่านมาก็คือ กระบี่นั้นไร้ใจ แต่คนกลับมีน้ำใจ หากกล่าวตามภาษิตไทยแต่โบราณได้ว่า จิตมนุษย์นั้นยากแท้หยั่งถึง ดังนั้นไม่ว่าจะใช้ทฤษฎีใหนก็ตามบริหารบุคลากรในองค์กรต้องไม่ลืมที่จะใช้ ทฤษฎีบริหารคนด้วยหัวใจ ควบคู่กันไปด้วย กล่าวคือ ปฏิบัติต่อบุคคลอย่างที่เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลนั้นให้มาก ผมมีความคิดเห็นว่าความสามารถในการแข่งขันขององค์กรหรือประเทศชาติในอนาคตขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพและศักยภาพของทรัพย์กรมนุษย์เป็นหลัก ทรัพยากรมนุษย์จึงเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กรและประเทศชาติอย่างยั่งยืนตราบนานเท่านาน........สวัสดี

เอกสารอ้างอิง:

http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=127641

วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552

สวัสดีปีใหม่ พ.ศ. 2552 ด้วยพระราชดำรัสฯ


ขอสวัสดีปีใหม่แก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน

ผู้เขียนขออัญเชิญพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๒ วันพุธที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ความว่า

ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ เป็นเวลาที่เราควรจะระลึกถึงกัน และอวยพรแก่กัน ด้วยความปรารถนาดี ก่อนอื่นข้าพเจ้าต้องขอขอบใจทุกท่านเป็นอย่างมาก ที่ร่วมกันจัดงานพระศพพี่สาวข้าพเจ้าอย่างยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติ
ทั้งอุตสาหะ มาร่วมในงาน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ด้วยใจภักดี และระลึกถึง กับขอส่งความปรารถนาดี มาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน ให้มีความสุขความเจริญ ความสุขความเจริญนี้ คือสิ่งที่พึงปรารถนาอย่างยิ่งของคนเรา แต่ความสุขความเจริญนั้น จะสำเร็จผลเป็นจริงได้ ก็ด้วยการที่ทุกคน ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท มีสติ รู้ตัว และปัญญา รู้คิด กำกับอยู่ตลอดเวลา
กล่าวคือ ไม่ว่าจะประพฤติปฏิบัติการใด ก็ใช้สติ ปัญญา พิจารณา ไตร่ตรองจนถ้วนถี่ ให้เห็นกระจ่างถึงผลดี ผลเสีย ทั้งใกล้ ไกล ทุกแง่ทุกมุม ความรู้ ความเข้าใจชัด ถึงผลดี ผลเสีย ย่อมจะทำให้แต่ละคน เล็งเห็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ว่าสิ่งใดควรละเว้น และสิ่งใดควรปฏิบัติ เพื่อให้บังเกิดผล เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง และยั่งยืน ทั้งแก่ส่วนตัวและส่วนรวม
ในปีใหม่นี้ จึงขอให้ประชาชนชาวไทย ได้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท จะคิด จะทำสิ่งใด ให้คิดหน้าคิดหลังให้ดี ให้รอบคอบ ทำให้ดี ให้ถูกต้อง ผลของการคิดดี ทำดีนั้น จะได้ส่งเสริมให้แต่ละคน ประสบแต่ความสุข ความเจริญ และทำให้ชาติบ้านเมือง มีความเรียบร้อย และอยู่เย็นเป็นสุข ดังที่ทุกคน ทุกฝ่าย ตั้งใจปรารถนา
ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยเราเคารพบูชา จงอภิบาลรักษาท่านทุกคน ให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากโรค ปราศจากภัย ให้มีความสุขกาย สุขใจ และความสำเร็จ สมหวัง ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน


ผู้เขียนขอเริ่มต้นบทความในต้นปีใหม่นี้ ด้วยการอัญเชิญพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย มาใส่ในบทความนี้ ผู้เขียนปรารถนาให้ท่านผู้อ่านได้อ่านสักหลายครั้ง หลายหน และนำไปปฎิบัติให้บังเกิดเป็นความสุข ความเจริญ และความเป็นมงคลแก่ชีวิตตลอดไป ปีใหม่นี้หลายคนคงคิดจะเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นสิ่งที่ดีๆ แก่ ตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ ก็ขอให้ประสบความสำเร็จทุกประการ สำหรับตัวผู้เขียนเองตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะรังสรรค์ผลงานการเขียนในปีนี้ให้ได้อย่างน้อยก็สัก 15 เรื่อง คิดไว้ว่าจะเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานกว่า 10 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งถึงแม้ดูเหมือนจะไม่มากสักเท่าไร แต่มันก็ไม่น้อยจนเกินไป หากสามารถถ่ายทอดออกมาให้ผู้อ่านได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์บ้างก็เป็นการดี แล้วติดตามกันต่อไปน่ะครับ......สวัสดี